แชร์

เคล็ดลับดูแล GearBox เพิ่มประสิทธิภาพ Cooling Tower

อัพเดทล่าสุด: 3 ก.ย. 2024
3554 ผู้เข้าชม

     การดูแลรักษาระบบCooling Tower ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในหลายๆ อุตสาหกรรม หนึ่งในส่วนประกอบที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของ Cooling Tower คืออุปกรณ์ Rotating Part ซึ่งมีหน้าที่หลักในการระบายความร้อนและรักษาเสถียรภาพของระบบ 


     จากบทความที่ผ่านมา เราได้อธิบายถึงประเภทของอุปกรณ์ในคูลลิ่งทาวเวอร์ ได้แก่ Rotating Part และ Static Part ไปแล้ว  ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงความสำคัญของอุปกรณ์ Rotating Part แต่ละตัวว่ามีหน้าที่หลักในการทำงานอย่างไร, วิธีการดูแลรักษาและวิธีการตรวจสอบที่ถูกต้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า Cooling Tower ของท่านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา


     หนึ่งในส่วนประกอบที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบ Cooling Tower ในส่วนของอุปกรณ์ Rotating Part คือ GearBox ซึ่งวันนี้เราจะมาอธิบายในรายละเอียดเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจอย่างถ่องแท้

 

GearBox หรือ Gear Reducer

     GearBox หรือ Gear Reducer ทำหน้าที่ลดความเร็วของมอเตอร์ที่ใช้ขับพัดลม ในระบบ Cooling Tower มักใช้มอเตอร์ 4 poles* ในการขับเคลื่อนใบพัด(Fan blade) ซึ่งความเร็วมาตรฐานของมอเตอร์ 4 poles คือประมาณ 1500 รอบต่อนาที โดยเราไม่สามารถขับใบพัดตรงๆ ได้ เนื่องจากจะทำให้ความเร็วปลายใบ(Tip speed) สูงเกินไป ซึ่งตามมาตรฐานจะกำหนดให้ Tip speed ไม่เกิน 61 เมตรต่อวินาที หาก Tip speed สูงเกินค่าที่กำหนด จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการสั่นสะเทือนสูง (Vibration) ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ในภายหลัง
                      *poles คือจำนวนขั้วแม่เหล็กที่สร้างสนามแม่เหล็กภายในมอเตอร์ ยิ่งมีจำนวน poles มาก ความเร็วรอบของมอเตอร์จะต่ำลง

สำหรับการคำนวณหาค่าความเร็วปลายใบพัด (Tip speed) จะใช้สมการ :
 


ตัวอย่างการคำนวณหาค่าความเร็วปลายใบพัด : หากใบพัดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.32 เมตรและหมุนด้วยความเร็ว 150 RPM

Tip speed = 73.2 × 3.14159×150
                                      60
Tip speed = 57.49m/s

หากคำนวณหาค่าความเร็วปลายใบพัดแล้วพบว่าเกิน 61 m/s ตามที่มาตรฐานกำหนดไว้
มีสองทางเลือกในการแก้ไข 

 

วิธีที่ 1 : ใช้ Gear Box หรือ Gear Reducer เพื่อลดความเร็ว

การใช้ Gear Reducer มีสามประเภทหลัก

     1. Helical Gear Drive

  • เป็นเกียร์ที่ออกแบบมาติดกับชุดเกียร์จากโรงงาน โดยเพลาเกียร์และเพลามอเตอร์จะหันไปทางเดียวกัน
  • นิยมใช้ใน Cooling Tower ขนาดเล็ก
  • ปัญหาที่พบบ่อยคือ Motor และ Gear Reducer จะอยู่ในสภาพที่มีความชื้นตลอดเวลา ทำให้ต้องซ่อมบำรุงเกียร์บ่อยและอาจเสียหายง่ายหรือมีอายุการใช้งานสั้นกว่าปกติ

ภาพที่ 1 : Helical Gear Drive

      2. Belt Drive

  • เป็นการลดความเร็วของเกียร์บ็อกซ์ด้วยการใช้สายพาน
  • นิยมใช้ใน Cooling Tower ขนาดเล็ก
  • ต้องทำการซ่อมบำรุงอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากต้องรักษาความตึงของสายพานไว้ตลอดเวลา
  • ข้อเสียคือสายพานจะขาดบ่อยเนื่องจากอยู่ในสภาพที่มีความชื้นสูงและมีการสูญเสียพลังงานเนื่องจากสายพานเกิดการชำรุด ซึ่งเป็นสาเหตุให้การส่งกำลังไม่เต็มที่และพลังงานส่วนหนึ่งสูญหายไปในรูปของความร้อนหรือการเสียดทาน

ภาพที่ 2 :  Belt Drive

     3. Right Angle Gear Design

  • เกียร์บ็อกซ์ประเภทนี้มีเพลาเกียร์ขาเข้าและขาออกตั้งฉากกัน 90 องศา ดังนั้นเมื่อเลือกใช้เกียร์แบบตั้งฉาก จะต้องมีเพลาขับ (Drive shaft) เชื่อมระหว่างเกียร์และมอเตอร์ เพื่อส่งกำลังจากมอเตอร์ไปยังเกียร์ลดความเร็ว (Gear Reducer)และใบพัดลม
  • เกียร์ประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานมากกว่าสองประเภทแรก เนื่องจากมอเตอร์จะถูกติดตั้งอยู่นอกโครงสร้างด้านบน(Stack)ของ Cooling Tower ทำให้ไม่โดนความชื้นโดยตรง ส่วน Gear Reducer ที่อยู่ด้านในคูลลิ่งทาวเวอร์ถึงจะโดนความชื้นโดยตรง แต่ไม่มีผลต่อการใช้งานเพราะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้ทนต่อสภาพความชื้นสูงๆได้ดี ส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
  • เกียร์ประเภทนี้ได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน CTI (Cooling Tower Institute)-ESG111 ซึ่งกำหนดการออกแบบ Gear Reducer สำหรับ Cooling Tower ให้สามารถทำงานในสภาพที่ต้องเจอกับความชื้นและการทำงานหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกียร์ทั่วไปจึงไม่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในคูลลิ่งทาวเวอร์ที่มีความชื้นสูง
  • นิยมใช้ใน Cooling Tower ขนาดใหญ่ 
  • การตั้งศูนย์ (Alignment) ยากกว่าสองแบบแรกเพราะเพลาขับ(Drive shaft) มีขนาดยาวจึงต้องอาศัยช่างที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการติดตั้ง

ภาพที่ 3 :  Right Angle Gear Design

 

วิธีที่ 2 : การเปลี่ยนจำนวน Pole Motor

โดยความเร็วของมอเตอร์แต่ละ Poles ที่ใช้มีดังนี้ : 

  • มอเตอร์ 2 Poles: ประมาณ 3000 รอบต่อนาที
  • มอเตอร์ 4 Poles: ประมาณ 1500 รอบต่อนาที
  • มอเตอร์ 6 Poles: ประมาณ 1000 รอบต่อนาที
  • มอเตอร์ 8 Poles: ประมาณ 750 รอบต่อนาที 

ซึ่งสามารถคำนวณความเร็วของมอเตอร์ได้จากสมการ :

     หากต้องการความเร็วรอบของมอเตอร์เพิ่มขึ้นหรือลดลง สามารถเลือกใช้มอเตอร์ที่มีจำนวน Poles ต่างๆ ได้ตามความเหมาะสมของการใช้งานและการออกแบบของระบบที่ต้องการใช้งานนั้นๆ และยังสามารถคำนวณความเร็วรอบของมอเตอร์ได้อย่างแม่นยำด้วยสมการที่กล่าวถึงข้างต้นนะครับ จะทำให้การเลือกใช้มอเตอร์ของท่านเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม

     ดังนั้น Cooling Tower ส่วนใหญ่จะต้องมี Gear reducer เพื่อลดความเร็วของมอเตอร์ให้เหมาะสมกับใบพัด การเลือกใช้มอเตอร์และ Gear Box ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ Cooling Tower

 

วิธีการซ่อมบำรุง Gear Box หรือ Gear Reducer

     การซ่อมบำรุง Gear Box หรือ Gear Reducer นั้นถือเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้และความชำนาญในการดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญดังนี้ :

  • การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง : ปกติ Gear reduce จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนดมาตรฐานของผู้ผลิตเช่นเดียวกับรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบหล่อลื่นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตรวจสอบและเปลี่ยนแบริ่ง (Bearing) : โดยปกติ Bearing ต้องออกแบบมาพิเศษเพื่อรับโหลดได้และต้องออกแบบ Thermal rating (การระบายความร้อน) ให้เพียงพอต่อการใช้งานใน cooling tower ซึ่งอายุการใช้งาน Bearing ต้องไม่น้อยกว่า 100,000 ชั่วโมง หากพบว่าแบริ่งใกล้หมดอายุ ควรทำการ Overhaul เพื่อเปลี่ยนแบริ่ง และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Oil seal, O-ring, และ Shim รวมถึงการตรวจสอบสภาพเฟืองภายในอย่างละเอียด

 

ปัญหาที่พบบ่อยจากการ Overhaul Gear คือการเลือกช่างที่ไม่มีความชำนาญหรือไม่ได้มาตรฐานจากผู้ผลิต ซึ่งอาจนำไปสู่ : 

  • การไม่ตั้งค่า Backlash และ Bearing End Play อย่างเหมาะสมส่งผลให้อายุการใช้งานของ Gear Reducer สั้นลงหรือเสียหายก่อนเวลาและการใช้วัสดุ Shim ผิดประเภทเพราะวัสดุบางชนิดสามารถหดตัวเมื่อเผชิญกับอุณหภูมิที่สูง ทำให้ค่าที่ตั้งไว้คลาดเคลื่อนและเกิดความเสียหาย

บทความเกี่ยวกับกรณีศึกษาเรื่องการซ่อมแซมเกียร์บ็อกซ์ไว้ >>> Gearbox พัง ใครๆ ก็ซ่อมได้ จริงหรอ?

 

     การเลือกช่างซ่อมเกียร์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือเลือกเพียงเพราะราคาถูก อาจดูเหมือนเป็นการประหยัดเงินในระยะสั้น แต่เปรียบเสมือนการนำรถเข้าอู่ที่ไม่ได้มาตรฐาน แทนที่จะนำเข้าศูนย์บริการที่มีช่างผู้ชำนาญในการดูแลรักษาอุปกรณ์อย่างมืออาชีพ การลงทุนเลือกช่างที่มีความรู้และประสบการณ์สูง ย่อมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆจะได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงของความเสียหายและยืดอายุการใช้งาน

     นอกจากนี้หลังจากการ Overhaul Gear เสร็จสิ้น ควรเลือกศูนย์ที่มีเครื่อง Running Test Gear จะช่วยให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้ตามมาตรฐานก่อนนำไปติดตั้งใช้งานจริง การวัดเสียง อุณหภูมิ และการสั่นสะเทือน (Vibration) จะช่วยให้สามารถตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ลดการสูญเสียเวลาและค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมภายหลัง

     สุดท้ายนี้ การเลือกศูนย์บริการที่มีการทดสอบอุปกรณ์อย่างละเอียดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในระยะยาว 

     หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน หากท่านมีคำถามเกี่ยวกับคูลลิ่งทาวเวอร์หรือมีไอเดียสำหรับบทความถัดไปของเรา สามารถเสนอแนะและพูดคุยกันได้ที่อีเมล coolingexpert@innovek.co.th เราให้คำปรึกษาและตอบคำถาม ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย


หากท่านชื่นชอบบทความของเราและต้องการติดตามเพื่อไม่พลาดบทความใหม่ ๆ ติดตามเราได้ที่  
Facebook : Innovek Asia
ID LINE : @innovek
หรือสามารถคลิก "ติดตามรับข่าวสาร" ที่มุมซ้ายด้านล่างของเว็บไซต์เราได้เลย


บทความที่เกี่ยวข้อง
วิธีประหยัดพลังงานในโรงงาน
การประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นขั้นตอนที่ธุรกิจให้ความสำคัญและทำอย่างสม่ำเสมอ Cooling Tower เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยลดการใช้พลังงานได้
29 เม.ย. 2025
สร้างอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม
ทำความรู้จักกับอุตสาหกรรมสีเขียว ไขข้อสงสัยและแนวทางลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากโรงงานด้วยระบบคูลลิ่งทาวเวอร์ ลดพลังงาน ลดมลพิษทางน้ำและอากาศ รักษาสิ่งแวดล้อม
26 มี.ค. 2025
แผน maintenance คูลลิ่งทาวเวอร์ เพื่อความยั่งยืนในการใช้งาน
คูลลิ่งทาวเวอร์จัดเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาสม่ำเสมอ ด้วยการวางแผน maintenance คูลลิ่งทาวเวอร์อย่างถูกวิธี เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
26 ก.พ. 2025
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy และ Cookies Policy
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ